‘ล.เยาวราช ’ปฏิวัติตำนาน 70 ปี พลิกโฉม “โชห่วย” ให้สวยเริ่ด!
http://www.thaismefranchise.com/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B5/%E2%80%98%E0%B8%A5-%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A-%E2%80%99%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99.html
‘ล.เยาวราช ’ปฏิวัติตำนาน 70 ปี พลิกโฉม “โชห่วย” ให้สวยเริ่ด!
ลักษณะร้านในปัจจุบันของ “ล.เยาวราช” โชห่วยเจ้าเก่าแก่อายุ 70 ปีบนถนนเยาวราช แตกต่างจากอดีตชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ จากเดิมมีแต่กองสินค้าวางระเกะระกะเต็มไปหมด กลายเป็นร้านแนวโมเดิร์น สวยสะดุดตา จนใครๆ ต้องหยุดมอง ที่สำคัญ ช่วยขยายหาลูกค้ากลุ่มใหม่ เสริมศักยภาพธุรกิจให้แข่งขันกับห้างค้าส่งค้าปลีกยักษ์ใหญ่ได้ ทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยสมองและสองมือของ “ภาสประภา กันยาวิริยะ” ทายาทธุรกิจรุ่นหลาน
ภาสประภา กันยาวิริยะ
ภาสประภา เริ่มต้นเล่าที่มาให้ ฟังว่า ร้านก่อตั้งโดยคุณปู่ ต่อเนื่องจนถึงรุ่นแม่ และญาติๆ ช่วยกันดูแลกิจกรรมแบบกงสี เปิดเป็นร้านขายส่งและปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคนานาชนิดไปสู่ลูกค้าในและต่างประเทศ มีเงินหมุนเวียนปีละกว่าหลักร้อยล้านบาท
หลังเข้ามารับไม้ต่อ แม้ยอดขายโดยรวมยังอยู่ในระดับดี แต่หนุ่มไฟแรง ฉายภาพให้เห็นว่า ลักษณะร้านตอนนั้น เต็มไปด้วยกองสินค้าวางเต็มไปหมด แทบไม่มีทางเดิน ทุกเช้าต้องยกสินค้าไปวางหน้าร้าน ตอนค่ำยกเก็บ คนที่จะรู้ว่าสินค้าแต่ละชนิดอยู่ที่ใด ต้องเป็นคนเก่าแก่อยู่มานานแล้วเท่านั้น
อีกทั้ง เมื่อไปดูข้อมูลลูกค้าจะเห็นว่า มีแต่รายเก่าแก่ ค้าขายกันมานานตั้งแต่รุ่นคุณปู่และคุณแม่ ส่วนลูกค้าหน้าใหม่แทบไม่มีเพิ่มเลย ขณะที่สัดส่วนรายได้ มาจากค้าส่งสูงถึงกว่า 80% ส่วนยอดขายปลีกหน้าร้านเพียง 20% และนับวันส่วนนี้จะลดลงไปเรื่อยๆ ด้วย
นี่เป็นจุดที่ทายาทธุรกิจนำไปบอกแก่ญาติๆ เพื่อขออนุมัติพลิกโฉมร้านครั้งใหญ่ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
“การเปลี่ยนทัศนคติของผู้ใหญ่ มันเป็นเรื่องยากมาก เพราะผู้ใหญ่จะมองว่า ทำไปทำไม เปลืองเงินเปล่าๆ ทุกวันนี้ ไม่ต้องทำอะไรมันก็ขายได้อยู่แล้ว ซึ่งผมพยายามบอกว่า เราทำเพื่ออนาคต หากจะอาศัยแต่กลุ่มลูกค้าเดิมๆ เท่านั้น แล้วร้านจะอยู่ได้อีกนานเพียงใด
สุดท้ายอาจถึงทางตัน การปรับปรุงจะช่วยให้ร้านเพิ่มรายได้ ซึ่งตอนแรก เขาก็ยังมองความคิดเราด้วยความไม่แน่ใจ แต่พอเห็นความตั้งใจจริง แม้จะยังสงสัย แต่ทุกคนก็พร้อมสนับสนุน” ภาสประภา เล่า
อย่างไรก็ตาม ข้อแม้ที่บรรดาญาติให้ไว้ คือ จะปรับปรุงร้านอย่างไรก็ได้ แต่ต้องไม่กระทบการค้าขาย ร้านจะต้องเปิดทุกวันเหมือนที่ผ่านๆ มานับ 70 ปี ดังนั้น การรีโนเวทจะต้องลงมือทำเฉพาะหลังร้านปิดเวลา 2 ทุ่ม และเคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จก่อน 6 โมงเช้าที่จะเปิดร้านเท่านั้น
“ต้องยอมรับว่า มันเป็นภาระที่หนัก และล้ามาก ผมจะลงมาคุมงานก่อสร้างเองทั้งหมด ตั้งแต่หลัง 2 ทุ่มจนถึงก่อน 6 โมงเช้าของทุกวัน ซึ่งวิธีนี้ มันทำให้งานค่อนข้างช้า ต้องทำทีละส่วน ค่อยเป็นค่อยไป เริ่มปรับปรุงตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 เสร็จประมาณสิงหาคมปีที่แล้ว (2555)” ทายาทธุรกิจ เผยและเล่าอีกว่า
“ไม่ใช่แค่เรื่องของเวลาที่เป็นอุปสรรคเท่านั้น แต่ยังต้องต่อสู้กับแรงกดดันของคนรอบข้าง โดยเฉพาะเพื่อนบ้านแถวนี้ ล้วนแต่เป็นคนจีนโบราณ พอเราใช้สีดำเป็นพื้นของร้าน เพื่อนบ้านก็จะบอกกับผู้ใหญ่ของผมว่า มันไม่เป็นมงคลนะ หรือผมเอาจักรยานไปวางหน้าร้าน ก็จะถูกบอกว่า เอาไปวางทำไม เสียดายพื้นที่ สู้เอาไปให้คนมาเช่าขายของ ได้เงินดีกว่า หรือเอาโคมสีเขียวมาแขวน
ก็ถูกตีความไปเชิงลบอีก (หัวเราะ) ผมก็ค่อยๆ อธิบายให้ญาติปรับทัศนคติ เช่น เรื่องใช้สีดำเพื่อจะขับให้สินค้าโดดเด่นขึ้นมา หรือการวางจักรยานหน้าร้านเพื่อให้คนมาถ่ายรูป จะเป็นการโฆษณาร้านไปในตัว พอผู้ใหญ่ได้ฟัง และเห็นว่าเราตั้งใจทำจริง เขาก็ให้โอกาส” หนุ่มไฟแรง อธิบาย
ด้านงานดีไซน์ร้าน ได้มืออาชีพอย่าง “สุทธิพงษ์ สุริยะ” ช่วยดูแล เบ็ดเสร็จใช้เวลาปรับปรุง 1 ปีเต็ม กับงบประมาณที่เบื้องต้นวางไว้ที่ 5 แสนบาท แต่สุดท้ายบานปลายไปถึง 2 ล้านบาท รูปแบบร้านใหม่ ผสมผสานระหว่างแนวโมเดิร์นกับวัฒนธรรมจีน ทุกอย่างมีความหมายในตัว เช่น
ประตูร้านเปิดปิดอัตโนมัติเพิ่มความสะดวกแก่ลูกค้าที่ใช้บริการ ภายในผนังกำแพง 2 ด้านวางโชว์สินค้าครบถ้วนกว่า 5,000 รายการ ให้ลูกค้าเห็นชัดเจน ง่ายต่อการเลือกซื้อ เพดานมีโคมสีเขียวแขวนเรียงเต็มไปหมด เพิ่มความสวยสะดุดตา ขณะที่หน้าร้านจัดเป็นมุมเล็กๆ สำหรับนักท่องเที่ยวถ่ายภาพได้
ขณะเดียวกัน คงเสน่ห์ของร้านโชห่วยในอดีต เช่น เปิดให้ลูกค้าต่อรองราคาได้ พูดคุยเป็นกันเอง พนักงานรู้จักสินค้าเป็นอย่างดี เป็นต้น
ลักษณะร้านก่อนปรับปรุง
“ผมพยายามให้ร้านนี้ ลูกค้าเก่าได้รับความสะดวกสบาย ลูกค้าใหม่เลือกจะเดินเข้ามา ให้เป็นจุดที่ลูกค้าเข้ามาแล้วรู้สึกสบาย แต่ยังคงเสน่ห์ของความเป็นเยาวราช มีกลิ่นอายความเก่าผสมอยู่ ขณะเดียวกัน นอกจากปรับสถานที่แล้ว เราก็มีการรีแบรนดิ้ง จากชื่อ “ล.เยาวราช” ก็ออกแบบโลโก้ใหม่ “LOR YAOWARAJ BANGKOK” ออกเสียงเหมือนเดิม แต่ดูทันสมัยขึ้น” ภาสประภา ระบุ
นอกจากรีโนเวทสถานที่ ภายในร้านมีสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองเพิ่มเติม โดยวางจ้างผู้ผลิตสินค้าที่น่าสนใจ ทั้งประเภทขนมคบเคี้ยว อาหารแปรรูปต่างๆ และน้ำดื่ม ฯลฯ ใส่บรรจุภัณฑ์สวยงามแล้วติดแบรนด์ “LOR YAOWARAJ BANGKOK” ช่วยให้มีสินค้าแตกต่างจากร้านอื่นๆ
ผลตอบรับหลังปรับปรุง นอกเหนือจากคำชมเรื่องความสวยงามแล้ว ที่เห็นชัดเจน คือ ปัจจุบันยอดขายหน้าร้านเพิ่มขึ้นเท่าตัว ขยายฐานลูกค้าใหม่ ทั้งกลุ่มวัยรุ่นที่รู้จักร้านจากการโพสต์รูปผ่านหน้าสังคมออนไลน์ต่างๆ รวมถึง ได้กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติแวะมาเยือน และซื้อสินค้าติดไม้ติดมือกลับไป
หน้าร้านจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
“เดิมที่ร้านปิดตั้งแต่ 2 ทุ่ม เพราะเราเป็นแค่ขายของชำ ผมคิดว่าเสียโอกาส ทั้งที่ถนนเส้นนี้ มันมีสีสันเปิดกันถึงเที่ยงคืน นักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาตินิยมมาหาซื้อของกินอร่อยๆ เหมือนกับที่ไชน่าทาวน์ของฮ่องกง สิงคโปร์ที่เปิดกันจนดึก พอเราปรับปรุงร้านให้สวย มันก็ทำให้ร้านกลายเป็นอีกแลนด์มาร์กของเยาวราช
ลูกค้าอยากมาถ่ายรูป มาซื้อสินค้า โดยเราสามารถเปิดได้ดึกขึ้นถึงเที่ยงคืน ในขณะที่ เหนื่อยน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะแต่ก่อน หลังจากปิดร้านแล้ว เราต้องเสียเวลามาเก็บร้านอีก ซึ่งทุกวันนี้เราไม่ต้องทำอย่างนั้น เพราะร้านถูกจัดเป็นระเบียบอยู่แล้ว” หนุ่มช่างคิด เผย
ปัจจุบันที่ห้างค้าปลีกค้าส่งยักษ์ใหญ่กำลังเติบใหญ่ขยายสาขาทุกหนแห่ง สำหรับร้านขายส่งโบราณแบบ “ยี่ปั๊ว” อย่าง “ล.เยาวราช” นั้น ภาสประภา ระบุว่า ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะมีฐานลูกค้าที่เก่าแก่เหนียวแน่น เชื่อใจในความซื่อสัตย์และบริการ อีกทั้ง มียอดสั่งสินค้าจากบริษัทผู้ผลิตโดยตรงค่อนข้างสูง ทำให้ระดับราคาสินค้าที่ขายต่อไปยังร้านค้าปลีกต่างๆ ถูกกว่าตามห้างโมเดิร์นเทรดทั่วไปด้วยซ้ำ
หน้าร้านใหม่ จัดเป็นมุมถ่ายภาพ
“หากเราดูในรายละเอียดจริงๆ จะพบว่า โดยรวมสินค้าในห้างโมเดิร์นเทรด ก็ไม่ได้ถูกกว่าร้านโชห่วยเลย ซึ่งสินค้าที่ลดราคานั้น จะมีเฉพาะบางตัวที่จัดรายการ เพื่อดึงดูดให้คนเข้าไปใช้บริการ ซึ่งในความเป็นจริง ทุกคนเวลาไปห้าง ก็ไม่ได้ซื้อเฉพาะตัวที่จัดรายการเท่านั้น แต่ซื้อสินค้าอื่นๆ ที่ไม่ได้จัดรายการด้วย ดังนั้น ร้านค้าปลีกรายย่อยอีกจำนวนมากที่นิยมซื้อสินค้าจาก “ยี่ปั๊ว” มากกว่า เพราะได้ราคาที่ถูกและบริการใกล้ชิด ทว่า ที่ผ่านมา ยี่ปั๊วบางร้านก็เอาเปรียบขายโก่งราคา
ทำให้ภาพลักษณ์ร้านยี่ปั๊วไม่ค่อยดี แต่เมื่อมีห้างโมเดิร์นเทรดเกิดขึ้น ร้านยี่ปั๊วรายที่ไม่ซื่อสัตย์ก็จะอยู่ไม่ได้ ส่วนของ “ล.เยาวราช” ค่อนข้างได้เปรียบ เพราะเราเป็นเจ้าเก่าแก่ ลูกค้าเชื่อใจ และขายสินค้าส่งได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด เพราะเราเน้นขายปริมาณมาก เอากำไรแต่น้อย ต่อหน่อยกำไรแค่ประมาณ 1% เท่านั้น ทำให้รักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้ ประกอบกับการปรับปรุงร้าน ช่วยเสริมหาลูกค้าใหม่ด้วย” ทายาทธุรกิจ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับร้านโชห่วยรายย่อยนั้น ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมาก เพราะต้องแข่งกับทั้งห้างโมเดิร์นเทรด และร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ ดังนั้น ควรหันมาปรับปรุงตัวเอง เช่น สร้างเสน่ห์จากความใกล้ชิดกับชุมชน บริการอบอุ่นเป็นกันเอง มีสินค้าที่หาไม่ได้จากห้างดังทั่วไป เป็นต้น
ภาสประภา กล่าวถึงแผนต่อไป หลังปรับปรุงเรื่องหน้าร้านแล้ว ขั้นต่อไปจะมุ่งปรับปรุงระบบหลังร้าน ทั้งการทำบัญชี สต๊อกสินค้า ฯลฯ ให้ได้มาตรฐาน ตรวจสอบข้อมูลสินค้าได้ถูกต้องครบถ้วน และในอนาคตร้าน “ล.เยาวราช” จะไม่ได้เป็นเพียงโชห่วยค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น แต่จะผลักดันร้านให้กลายเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวคู่ถนนเยาวราช มีสินค้าของฝากสารพัดไว้คอยบริการลูกค้าชาวไทยและนักท่องเที่ยว
เป้าหมายดังกล่าวจะสำเร็จหรือไม่ เวลาจะเป็นตัวพิสูจน์
ร้าน “ล.เยาวราช” เปิดทุกวัน 8.00 – 24.00 น. โทร.0-2886-2376 , 08-5223-5799
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น