ขาบสไตล์-ฟู้ดสไตลิสต์ระดับโลก

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=438916


หมายเหตุก่อนอ่าน...ฉันมีโอกาสไปสัมภาษณ์คุณขาบ สุทธิพงษ์ สุริยะ  ถึงที่บ้าน(สุดแสนมีสไตล์)  จึงเรียบเรียงมาให้อ่านกันให้จุใจ  ได้ตัดตอนเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับหนังสือ ไปเขียนลงในจุดประกาย วรรณกรรม คอลัมน์เส้นทางนักเขียน  ลงตีพิมพ์วันอาทิตย์ที่  10  พฤษภาคม  2552...
สำหรับหลายคนที่สนใจเรื่องอาหารการกิน  คงเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตา  สุทธิพงษ์  สุริยะ  หรือคุณขาบ  ฟู้ดสไตลิสต์ชั้นนำที่คร่ำหวอดในวงการศิลปะและอาหารโดดเด่นมามากกว่า  10  ปี  เขาทำงานทั้งเป็นเบื้องหน้าและเบื้องหลังซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ 
ปัจจุบันนอกจากบทบาทการเป็นฟู้ดสไตลิสต์แล้วยังดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ  บริษัท  ขาบสไตล์  จำกัด  และบทบาทอื่นอีกมากมายที่ก่อเกิดมาจากรากเหง้าในความรักอาหารและศิลปะ  จนสามารถนำเสนอเรื่องอาหารออกมาในรูปแบบพาณิชศิลป์  และเขายังเป็นนักเขียนสารคดีอาหารคนไทยคนแรกและเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรางวัลในงานประกวดตำราอาหารดีเด่นระดับโลกจาก  Gourmand World Cookbook  Awards  ประเทศสเปนถึงสองปีซ้อนติดต่อกันกับสี่รางวัลคุณภาพระดับโลก
ขาบ  สุทธิพงษ์ สุริยะ ฟู้ดสไตลิสต์ผู้มากประสบการณ์จะพาเราไปค้นพบนิยามในแบบของเขา  ที่เปี่ยมไปด้วยรสนิยมและความทันสมัยระดับมาตรฐานสากล  เพื่อยกระดับให้ธุรกิจอาหารไทยทั้งระบบก้าวไกลสู่สากลอย่างมีแบบแผนที่ชัดเจน
เรื่อง นงค์ลักษณ์  เหล่าวอ
ภาพ ขาบสตูดิโอ
ทำไมถึงเลือกที่จะมาเป็นฟู้ดสไตลิสต์
ก็เริ่มจากมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ  โดยธุรกิจของครอบครัวทำร้านอาหารอินโดจีน  ไทย  ลาว  เวียดนาม  ผมก็จะคุ้นเคยกับวัตถุดิบ  พืชพันธุ์  อาหาร  ฤดูกาลที่มันอยู่กับเรื่องของการครัว  เข้าครัว  ไปตลาด  จึงกลายเป็นเรื่องธรรมชาติของชีวิตประจำวัน  และเนื่องจากที่บ้านเป็นร้านต่างจังหวัด  (จังหวัดหนองคาย)  ทุกคนต้องช่วยกัน  หลักๆ  คือผมเข้าครัวได้  ผมชอบทำอาหารมาก  สิ่งเหล่านี้ซึมซับมาจากแม่ไม่ใช่เพราะที่บ้านทำธุรกิจร้านอาหาร  การเป็นลูกคนเล็กต้องช่วยแม่ปรุงอาหาร  เพราะพี่ๆ มาเรียนที่อื่นกัน  พอปรุงเสร็จก็ชิมช่วยกัน  ผมจึงเรียนรู้ลิ้นจากคนใกล้ตัว 
ตอนนั้นคิดไหมว่าความรักในการเข้าครัวจะทำให้กลายมาเป็นฟู้ดสไตลิสท์
ตอนนั้นคิดว่าเป็นเรื่องการดำรงชีพ  ยังไม่มองว่าเป็นเรื่องศิลปะ  และผมมองว่าการกินอยู่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต  ทำให้ผมได้เรียนรู้ที่จะไปจ่ายตลาดสดตอนเช้า  ต้องเรียนรู้ว่าเค้าคัดหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีอย่างไร  ซึ่งเป็นเรื่องกระบวนการคิดทั้งหมดเลย  การไปบ่อยๆ ได้เห็นนู่นเห็นนี่ก็จะเกิดการเปรียบเทียบ  แม่ค้าจะมีความหลากหลายเปรียบเสมือนครูในภาคสนามของผมทำให้ได้เรียนรู้ที่จะเข้าถึงว่าวัตถุดิบชนิดไหนควรจะเลือกหรือไม่เลือก  มันเป็นบทเรียนเป็นเรื่องของการซึมซับจากการที่ตามแม่ไปตลาด   และการที่พ่อทำธุรกิจรับซื้อขายพืชไร่การเกษตร  บางทีผมก็ไปกับพ่อเวลาที่พ่อไปรับซื้อของชาวไร่ชาวนา  ให้ได้เรียนรู้วัตถุดิบว่าการซื้อขายทำกันอย่างไร  เลือกสรรวัตถุดิบที่ดีเกรดเอ บี ซี หรือไม่ดีก็จะรู้  วัตถุดิบบางอย่างก่อนมาเป็นอาหารต้องเป็นวัตถุดิบมาก่อน  นั่นแสดงว่าผมเข้าใจเรื่องของการคัดสรรและธรรมชาติฤดูกาลของวัตถุดิบด้วย  ทำให้รู้ว่าในช่วงนี้จะมีอะไรหรือไม่มีอะไร วัตถุดิบบางอย่างก็นำกลับมาเป็นของใช้ในครัว  แล้วก็มาเป็นอาหาร  ซึ่งเป็นเรื่องของความสัมพันธ์แบบไป-กลับ
จากความคุ้นเคยกับชีวิตที่บ้าน  แล้วมารู้สึกว่าอยากทำเรื่องอาหารในรูปแบบธุรกิจได้อย่างไร
เมื่อก่อนไม่เคยมองว่าเป็นธุรกิจได้  เพราะมันเป็นธุรกิจของครอบครัวอยู่แล้ว  และไม่คิดว่าจะเอามาทำเป็นพาณิชย์ศิลป์ได้  รู้อย่างเดียวว่าผมชอบศิลปะมาก  คือรู้ด้วยกระบวนการ วิธีการ  เวลาเข้าร้านหนังสือผมชอบไปดูหนังสือศิลปะ  พวกรูปภาพสวยๆ  แต่ไม่รู้ว่าเอามาทำมาหากินได้  ชอบดูนิตยสารฝรั่ง  มีรูปสวยๆ  ก็คิดว่าอยากจะมีแบบนั้นบ้าง  แต่คิดว่าในเมืองไทยคงทำแบบนั้นไม่ได้  ความเป็นศิลปะคงไม่สามารถเอามาทำมาหากินได้  ความเป็นอาหารผมคิดว่าทำได้อย่างเดียวคือเป็นร้าน  หรือว่าทำอาหารเป็นแพคเกจจิ้งขาย  แต่ไม่คิดว่าจะสามารถกลายมาเป็นงานที่สร้างภาพลักษณ์ได้  และไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้  จนมาเจอผู้จุดประกายคือ ครูโต หม่อมหลวงจิราธร  จิรประวัติ  ผู้เปิดประตูสู่โลกกว้างให้ผมเลย  แกบอกว่า  บ้านเราไม่มีฟู้ดสไตลิสต์  แต่บ้านเราเป็นเมืองวัตถุดิบอาหารการกิน  บ้านเราจึงมักจะมีปัญหาอยู่ว่า  พอทำวัตถุดิบออกมาอย่างดี แต่ว่ามีวางขายอยู่เฉพาะในบ้านเรา  แต่พอสินค้าเดินไปสู่สากล  ภาพลักษณ์เรื่องของสไตล์ไม่ผ่าน  นั่นก็แปลว่า  ทำให้สินค้าไม่เดินทางสู่สากลได้  ผมเลยทะลวงว่า  ถ้าจะทำธุรกิจอาหารไทยสู่มาตรฐานสากล  มันมีเส้นทางเดินของธุรกิจได้อย่างแน่นอน 
นิยามของคำว่า ฟู้ดสไตลิสต์นั้น จริงๆ แล้วกินความหมายขนาดไหน
คำว่า ฟู้ดสไตลิสท์ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องของชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องของธรรมชาติ  เพราะในเรื่องของศิลปะมันเป็นเรื่องที่มีอยู่กันทุกคน  เพียงแต่ว่าคนอาจจะหลงลืมไป  บางคนชอบทำผม  ก็ต้องทำผมให้สวย  แต่บางคนชอบเสื้อผ้าก็แฟชั่นดีไซเนอร์ให้สวย  แต่สำหรับอาหารเป็นเรื่องของศิลปะเหมือนกันนะ  เพียงแต่ว่าเราอาจจะมองข้ามเพราะว่าเป็นเรื่องของกิน  เราก็เลยบอกว่า  ทำไมเราต้องไปแต่งตัวให้มันสวย 
จริงๆ แล้ว  ในเรื่องของธุรกิจอาหารมีตัวแปรอยู่สองตัวคือ เหตุผลและอารมณ์  ซึ่งเป็นธรรมชาติของธุรกิจอยู่แล้ว  เหตุผลคือความเป็นศาสตร์  เวลาทำอาหารคุณต้องเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี  และคุณต้องใช้วัตถุดิบที่มีคุณค่าทางสารอาหารด้วย  แล้วคุณต้องคำนึงถึงคนกินว่าได้อะไรจากการกินด้วย  อันนี้เป็นเรื่องของศาสตร์
ในเรื่องของศิลป์  อาหารจะทำให้คนอยากกินก็ต้องทำให้มันสวย  สวยแปลว่ายังไง  ก็คือฤดูกาลเอย  สีสันของวัตถุดิบแต่ละอย่าง รูปทรงของวัตถุดิบคือความสวยงามของธรรมชาติที่สร้างมา แต่ว่าเราอาจจะคิดมองไม่ถึงหรือมองไม่ออก แต่ว่ามันคือความสวยทั้งนั้น เพราะว่าทั้งคนและวัตถุดิบต่างก็มีรูปทรงด้วยกันทั้งนั้น แต่ในกระบวนการคิดศิลปะในการปรุงอาหารเราจะต้องมีกฎอยู่ข้อหนึ่งคือ  ความอร่อยต้องมาก่อนและอาหารนั้นจะต้องอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติของการกิน  เช่น  อาหารร้อนก็ต้องกินแบบร้อน  อาหารเย็นก็ต้องกินแบบเย็น  ธรรมชาติของอาหารเป็นอย่างไรก็ต้องกินแบบนั้น 
กระบวนการคิดของผมก็คือ  จะหยิบยกอะไรมาใส่กับอะไร  ต้องอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติของอาหาร  โดยใช้การเรียนรู้คือว่า นำวัตถุดิบส่วนประกอบทั้งหมดที่จะทำเมนูนั้นมาวางบนโต๊ะ แล้วจะดูภาพรวมจากนั้นค่อย มาคัดสรรว่าสีอะไรคู่กับสีอะไร  แล้วหั่นอย่างไรสวยและควรเลือกวัตถุดิบอย่างไร  ส่วนภาชนะก็จะเป็นสิ่งที่มารองรับให้ของที่ทำสวยขึ้นอีก  สิ่งเหล่านี้คือความต่อเนื่องของชิ้นงาน  อย่าลืมว่าศิลปะเป็นเรื่องที่อยู่ในตัวของทุกคนอยู่แล้ว  แต่เรามองข้ามไปว่ามันคืออาหารที่จะทำให้เรารู้สึกอิ่มท้อง  แต่ความจริงการอิ่มท้องคือการทำให้ชีวิตมีคุณภาพควบคู่กันไปด้วย  สังเกตง่ายๆ คือ  เทศกาลอาหารหรืออะไรก็ตาม  ถ้าคนไทยลุกขึ้นมาทำงานคนไทยก็ทำให้มันสวยวิจิตรพิศดารมาก  ถามว่าสัมผัสถึงไหม ผมว่าอารมณ์เข้าถึงยาก เพราะว่ามันเป็นความสวยที่เกินความเป็นจริง ซึ่งในชีวิตประจำวันแทบจะไม่ค่อยได้สัมผัส 
แต่ถ้าเราทำอาหารออกมาให้คุ้นเคยกับชีวิตประจำวัน  ไม่ต้องสวยมาก แต่ว่าการสัมผัสเข้าถึงรับรู้ได้ นั่นแปลว่า  ชีวิตเราจะค่อยๆ  ซึมธรรมชาติของความสวยงามเข้าไป  สุดท้ายเราจะตกผลึกเรื่องความคิดว่า  เราจะได้ความสวยด้วยธรรมชาติ  นั่นก็แปลว่า  ถ้าเราทำอาหารออกมาสวยมากจะไม่กล้ากิน  แต่ถ้าเราทำอาหารออกมาแล้วไม่ไปพลิกแพลงจากธรรมชาติของวัตถุดิบ  เราจะเข้าใจและเราก็จะแปลงโจทย์ได้ง่ายขึ้น  หมายความว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามเราต้องเอารากเหง้ามาเป็นกระบวนการคิดเสมอในกระบวนการทำงาน  ฉะนั้นงานของผมจะเป็นคอนเซปท์ที่เน้น  ความเรียบง่ายมาก  แต่ว่าดูแล้วนิ่ง  สวยนาน  เป็นความสวยแบบมีชีวิตชีวา  เรื่องของอาหารเป็นเรื่องง่ายที่สุด  เพราะว่าเราต้องสัมผัสอาหารวันละสามมื้อ  มันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุดแล้ว
วิธีการไหนที่จะส่งสารให้คนรู้สึกและสัมผัสได้ว่าอาหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
หลักการง่ายๆ คืออย่าไปใช้กระบวนการคิดที่ซับซ้อนหรือว่ามากเกินไป  คือมองอาหารว่าเป็นเรื่องของง่ายๆ  ยกตัวอย่างคือ  พยายามเข้าถึงธรรมชาติของอาหาร  อย่าให้อาหารผ่านกระบวนการแปร  กระบวนการปรุงที่มีขั้นตอนยุ่งยาก  พยายามกินอาหารที่เป็นวัตถุดิบให้ได้มากที่สุด  คือไม่ผ่านกระบวนการปรุงมาก  จะทำให้ได้เรื่องของสุขภาพกลับคืนมา  อาหารที่ไม่ผ่านการปรุงมากความสวยก็จะคงอยู่ ที่สำคัญคุณค่าของสารอาหารในวัตถุดิบก็จะไม่สูญเสียด้วย
หลักสำคัญที่เป็นกฎของฟู้ดสไตลิสต์มีอะไรบ้าง
ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหน ถ้าใช้วิธีคิดของฟู้ดสไตลิสต์คือให้เข้าถึงธรรมชาติ  แล้วสิ่งเหล่านี้จะกลับคืนมาหาเราโดยคำตอบของมันเอง  ฟู้ดสไตลิสต์มีวิธีคิดคือกินอย่างง่ายๆ  กินอย่างที่ธรรมชาติเป็น  อาหารต่างจากงานศิลปะอย่างอื่นตรงที่อาหารเราต้องกินเข้าไป  ดังนั้นกระบวนการแรกที่ต้องคำนึงถึงคือรสชาติต้องอร่อย  ต้องผ่าน  ถัดมาคือโภชนาการต้องได้  และสุดท้ายคือเรื่องความสะอาด  หลักสุขอนามัยต้องมี  อันนี้เป็นกฎตายตัวของฟู้ดสไตลิสต์ที่จะต้องคำนึกถึงตลอด
มีฟู้ดสไตลิสต์จำนวนมากลืมกฎข้อนี้  แสดงว่าเค้าไม่ได้เติบโตมาจากสายของคนทำอาหาร  เขาเติบโตมาจากสายงานคนทำศิลปะ  ซึ่งวิธีคิดจะผิดกัน  แต่ถ้าวันหนึ่งที่ฟู้ดสไตลิสต์จะต้องเข้าไปสู่วงการธุรกิจอาหารนานาชาติหรือระดับโลกแล้ว     คนที่มาจากสายอาหารจะตอบโจทย์ธุรกิจหรือมาตรฐานสากลได้ดีที่สุด  เพราะว่าธรรมชาติของอาหารก็ต้องนำเสนอด้วยวิธีทางธรรมชาติ  เราจะไปปรับให้เขาเป็นอย่างอื่นไม่ได้ อันนี้คือข้อเท็จจริง
ประสบการณ์ในบทบาทของฟู้ดสไตลิสต์ระดับนานาชาติครั้งแรกคืองานอะไร
ผมมีประสบการณ์ด้านนี้ค่อนข้างเยอะและโชคดีที่ได้มีโอกาสเรียนรู้งานในส่วนของทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง งานทั้ง2 ส่วนทำให้ผมได้มีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องซึ่งงานที่ทำมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ  งานแรกในระดับนานาชาติคือการนำภาพถ่ายวัตถุดิบอาหาร  ซึ่งเป็นเครื่องเทศและสมุนไพรไทยไปจัดแสดงในงานอนูก้า (ANUGA)  ประเทศเยอรมนี  ปกติการจัดนิทรรศการอาหารไทย ส่วนมากจะนำเสนอในเรื่องของรูปภาพอาหารที่ปรุงสำเร็จแล้วอยู่ในจาน  ปีนั้นผมนำเสนอด้วยความสวยงามของวัตถุดิบที่จะนำไปปรุงอาหารเท่านั้น  ทั้งตะไคร้  ใบมะกรูด  สะระแหน่  โหระพา  พริก  จัดวางในภาชนะสวยๆ  นำไปขยายเป็นรูปภาพใหญ่ๆ  เพราะว่าเรากำลังจะตีโจทย์ว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่มีเครื่องเทศสมุนไพรที่ดีที่สุดของโลก  อาหารไทยทำมาจากเครื่องเทศและสมุนไพรที่ดี  นี่คือหัวใจหลักของอาหารไทย  ก็เลยนำเสนอเรื่องความสวยงามของวัตถุดิบให้ดูดีมากไปด้วยสไตล์  งานนี้กรมส่งเสริมการส่งออกในฐานะตัวแทนของประเทศไทยได้คัดเลือกเอางานของผมไปจัดแสดงในบู้ธของกรมส่งเสริมการส่งออก
ผลตอบรับในงานอนูก้า (ANUGA) ครั้งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ได้รับการตอบรับดีพอสมควร  สิ่งที่เขาได้รับรู้จากกระบวนการศิลปะ  คือทำให้เห็นความแตกต่างของการนำเสนอสิ่งที่แปลกใหม่  เพราะว่ายังไม่เคยมีเลยที่จะมีการนำเอาภาพของวัตถุดิบขึ้นจัดแสดง  ทำให้วงการอาหารเริ่มที่จะตระหนักและกลับมาให้ความสำคัญเรื่องของรูปแบบกระบวนการคิดวางแผนงาน  ก็แปลว่า  ถ้าคุณจะทำให้อาหารอร่อยมีคุณภาพดี  เรื่องวัตถุดิบเป็นหัวใจหลักเลย  มันเป็นการฉุกความคิดขึ้นมา  คิดถึงรากเหง้าต้นกำเนิดของทุกสิ่งอย่างนั่นเอง แล้วอีกอย่างหนึ่งคือเมืองไทยยังเป็นเมืองที่ส่งออกเครื่องเทศสมุนไพรอันดับต้นๆ ของโลก  แต่เราไม่ได้มาพูดถึงบทบาทเรื่องนี้  เราพูดถึงบทบาทเดียวคือส่งพ่อครัวแม่ครัวไป    แล้วก็คนไทยไปเปิดร้านอาหาร  แต่ว่านั่นเป็นปลายแถวปลายเหตุ  แต่ต้นเหตุคือว่าคนไทยที่ไปทำร้านอาหารเขาต้องนำเข้าเครื่องเทศสมุนไพรไทยทั้งหมดเลยไปจากเมืองไทย  ซึ่งเป็นมูลค่ามหาศาล  เราลืมเรื่องนี้กันไปได้อย่างไร
การจัดแสดงภาพถ่ายสมุนไพรไทยอย่างมีสไตล์ในครั้งนั้นของผม ได้จุดประกายให้คนเห็นคุณค่าความสำคัญของเครื่องเทศสมุนไพรว่าเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญ  และได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสมุนไพรว่าของที่นำเข้าจากเมืองไทยมีคุณภาพดีที่สุด เพื่อส่งเสริมเกษตรกรไทยนั่นเอง  อีกอย่างเราต้องนำเสนอให้เขารู้ว่าเข้าถึงได้ง่ายแล้วก็สวยด้วยธรรมชาติและตัวตนของวัตถุดิบนั่นเอง
นอกเหนือจากการจัดแสดงภาพถ่าย แล้วได้ให้ข้อมูลสรรพคุณของสมุนไพรอย่างไรบ้าง หลักๆ คือเขาจะขยายภาพขึ้นรูปใหญ่ๆ แล้วบอกชื่อสมุนไพรและเครื่องเทศประกอบรูปภาพ  แต่โดยธรรมชาติคนไทยก็จะคุ้นเคย แต่สำหรับชาวต่างชาติจะรู้ว่านี่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้อาหารไทยมีความอร่อยครบทุกรสชาติ เผ็ด เปรี้ยว หวาน  มัน เค็ม  มีเอกสารแจกเพื่ออธิบายประกอบ  ทำให้เป็นการตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วน
หลังจากอยู่ในวงการอาหารมานาน ทำไมถึงได้ตัดสินใจเปิด  ขาบสตูดิโอ
ผมเปิดขาบสตูดิโอขึ้นมาก็เพื่อสร้างมาตรฐานสากลให้กับวงการอาหารไทย  ผมได้ทำงานให้กับโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี  ออกแบบบรรจุภัณฑ์กล้วยอบพลังงานแสงอาทิตย์ที่อำเภอ สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เพื่อช่วยยกระดับเรื่องของบรรจุภัณฑ์ให้กับชาวบ้าน ผมมองว่าการที่เราได้ช่วยชาวบ้านมีส่วนช่วยให้สังคมเข้มแข็งขึ้นได้  ซึ่งธุรกิจของผมให้บริการสร้างภาพลักษณ์ให้กับวงการอาหารและถือว่าเป็นเจ้าแรกในเมืองไทยที่ลุกขึ้นมาเปิดบริษัททำเป็นเรื่องเป็นราว  ทีนี่พอผมเริ่มจากการทำให้อาหารสวย  เสร็จแล้วมันไม่ได้แปลว่าความสวยจบอยู่ที่อาหารในจานเท่านั้น  สำหรับธุรกิจร้านอาหาร แต่ถ้าเป็นบริษัทผลิตวัตถุดิบอาหารมันไม่ได้จบอยู่ที่จาน  มันจบที่กระบวนการออกแบบบรรจุภัณฑ์หุ้มห่อ  นั่นก็แปลว่า  มันต้องผ่านกระบวนการมองผ่านเลนส์ด้วยช่างภาพ  เพื่อให้ได้รูปสวย  จากนั้นกราฟฟิกดีไซเนอร์ต้องเอาชิ้นงานไปออกแบบเป็นบรรจุภัณฑ์  นั่นหมายความว่า  ลักษณะงานขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของลูกค้าว่าต้องการให้ใส่ความสวยงามแบบไหน  หรือว่าถ้าบริษัทของลูกค้าขายวัตถุดิบ เขาก็ต้องการนำเสนอให้วัตถุดิบของเขาโก้  มีสไตล์  นั่นแสดงว่าเค้าต้องการให้ผมไปคุกกิ้งโชว์  นำวัตถุดิบมาปรุงอาหารให้อร่อย ผมก็จะเน้นไลฟ์สไตล์ของการปรุงอาหารให้เหมือนอยู่ที่บ้าน    ถ้าเป็นหนังสือตำราอาหาร แสดงว่าลูกค้าต้องการให้เราทำครบทั้งระบบทั้งในเรื่องของกระบวนการถ่ายภาพ งานออกแบบ  แล้วก็กระบวนการเล่าเรื่องด้วยการเขียนหนังสือ ก็แปลว่าผมต้องใส่เรื่องราวลงไป 
ในกระบวนการทำงาน  ถ้าฟู้ดสไตลิสต์ที่มีวิธีการมองโจทย์รอบด้าน  จะมองออกเลยว่า  งานชิ้นนี้เขาจะมองเห็นภาพทั้งระบบแล้วค่อยเดินทางไปหาเป้าหมายอย่างง่ายดาย แต่งานที่เดินทางไปเน้นรูปแบบนำเสนอเรื่องของอารมณ์  จะไม่ใช่ลักษณะงานที่ฝืนธรรมชาติในเชิงของการโฆษณาเกินไป  เพราะผมเชื่อว่าความรู้สึกและอารมณ์เป็นเรื่องใหญ่  สินค้าที่จะก้าวไปสู่ระดับสุดยอด  เขาขายอารมณ์กันทั้งนั้น  ถ้าดูบรรจุภัณฑ์สินค้าแทบทุกตัว  อาหารทุกอย่างขายอารมณ์  ดังนั้นปัญหาหลักของบ้านเราคือไม่ได้นำฟู้ดสไตลิสต์ที่มีประสบการณ์ด้านนั้นมาเป็นที่ปรึกษา  แต่กลับไปใช้ช่องทางอื่น  ไม่ว่าจะเป็นนักโฆษณาหรือว่านำฟู้ดสไตลิสต์ที่ไม่มีทักษะเรื่องอาหารมาแก้ปัญหา  ซึ่งตอบโจทย์ผิดเลย  วิธีแก้ปัญหานี้ในบ้านเราทำได้ไม่ยาก  กระบวนการคือรัฐบาลต้องมองและตระหนักถึงปัญหาหลักในจุดนี้ให้ได้ก่อน  ถ้าเห็นจุดนี้ปั๊บมันจะง่าย แล้วเราค่อยมาหาทางออกร่วมงาน  บ่อยครั้งเวลาที่ผมไปเป็นอาจารย์พิเศษ  ผมจะให้วิธีคิดที่เป็นมาตรฐานสากล  ว่าทั่วโลกเขาทำแบบนั้น  ถ้าคุณปรับสินค้าหรือธุรกิจของคุณมาเป็นแบบนี้  สไตล์จะมาเลย  แล้วคุณจะถูกตรวจสอบด้วยวิธีคิดแบบสากล  เพราะคนรอบตัวเรา  เขารู้แล้วเข้าใจดีว่า  มาตรฐานสากลคืออะไร  แต่ว่าไม่มีใครหยิบยกประเด็นการสร้างสไตล์สินค้าอาหารออกมาทำเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้นเอง
มีความเห็นอย่างไรต่อการศึกษาด้านอาหารและธุรกิจวงการอาหารบ้านเรา
บ้านเรามีโรงเรียนสอนทำอาหารเยอะ  มีมหาวิทยาลัยสอนระดับปริญญาตรี  และมีสถาบันสอนการครัวด้วย  แต่ปัญหาคือบุคคลที่จบสายเหล่านี้เกือบทั้งหมดไม่เคยได้เดินไปถึงฝั่ง   ทำไมไม่ฉุกคิดกลับมาพัฒนาบุคลากรคนกลุ่มนี้ให้เขามีความโดดเด่นในสายงานของเขา แล้วเขาจะมีความภาคภูมิใจในอาชีพ  ไม่ใช่ว่าเรียนจบมาแล้ว  แยกสลายไปเป็นอะไรก็ได้  ซึ่งเรื่องเหล่านี้เราต้องย้อนถามกลับไปว่า  เกิดอะไรขึ้นแล้ว ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้  โรงเรียนหรือสถาบันควรจะเอาบุคลากรที่มีความแตกฉานเหล่านี้ไปเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้  ไปเปิดประเด็นและจุดประกายให้กับเขาว่า  ถ้าคุณเดินทางมาในรูปแบบนั้น  แล้วคุณจะไปเป็นแบบนี้แน่นอน  เพื่อทำให้เชฟไทยมีความภาคภูมิใจในวิชาชีพ  ตอนนี้เชฟไทยทำงานเพราะว่าเป็นหน้าที่  ขาดการส่งเสริมและถูกวงการธุรกิจอาหารครอบงำเกินไป  เชฟควรจะต้องมีความเป็นศิลปินมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง  และวงการอาหารจะต้องช่วยกันสนับสนุนเชฟไม่ใช่ครอบงำวิธีคิดของเชฟ ทำให้เชฟไทยขาดความภาคภูมิใจแตกต่างจากเชฟตะวันตก  และบ้านเราต้องยอมรับว่ามีเรื่องของพรรคพวก  อันนี้เป็นเรื่องใหญ่  บ้านเราไม่ค่อยเปิดใจกว้าง  ถ้าเอาคนที่มีวิธีคิดที่ถูกต้องมาเป็นมาตรฐานและให้เขาได้แสดงศักยภาพเต็มที่  มันจะขับเคลื่อนไปทั้งระบบ บ้านเราถ้าจะเอาคนกลุ่มนี้ กลุ่มนั้นจะต้องไม่มา แต่กลุ่มนี้ก็ไม่ได้แปลว่าเป็นกลุ่มที่ดีที่สุด ทำให้งานไม่เกิด            ประสิทธภาพ
ด้วยความที่คุณขาบคลุกคลีกับอาหารอินโดจีน อย่างไทย  ลาว และเวียดนาม  อยากทราบว่าหัวใจหลักของอาหารทั้งสามชาติคืออะไรต้องบอกว่าอาหารไทยหัวใจหลักคือความหลากหลายของรสชาติ  เปรี้ยว  หวาน  เค็ม เผ็ด  มัน  ห้ารสนี่คือหัวใจหลักของอาหารไทย  ความหลากหลายทำให้อาหารไทยสามารถทำได้สารพัดรสชาติและสารพัดวัตถุดิบ  นี่คือความสมบูรณ์แบบของเมืองไทยที่ชาติอื่นไม่มี  แต่ว่ามันเป็นความยากมาก  เพราะว่าอะไรที่มีความเยอะ  หนึ่งเยอะรสชาติ  สองเยอะวัตถุดิบ  ถ้าคนที่ไม่มีความเป็นศิลปะ  เขาจะเอาความเยอะมาทำให้เป็นความรกได้ง่ายที่สุด  เพราะว่าเขาไม่มีทักษะหรือความเป็นฟู้ดสไตลิสต์  นี่คือสิ่งที่ผมกลัวและอยากจะเข้ามาหยุดความรกให้เป็นความง่าย  แต่ว่ารสชาติยังอร่อยคงเดิม 
อาหารลาว  หัวใจหลักคือชีวิตความเป็นอยู่เน้นพึ่งพาอยู่กับธรรมชาติ อาหารประจำวันจึงเป็นอาหารที่อยู่รอบตัวสามารถนำมาปรุงได้ทันที  อาหารไม่ค่อยผ่านกระบวนการปรุงที่ซับซ้อนเท่าไหร่  เป็นรอว์ฟู้ด (raw food)  และเน้นสุขภาพเยอะ  และจะไม่ค่อยมีขั้นตอนมากเท่ากับอาหารไทย  เพราะว่าวิถีชีวิตของเค้าเรียบง่าย  นี่คือกระบวนการคิดของเขา  คือใส่อะไร  รสชาติออกมายังไงก็จบอยู่ที่จุดนั้น  เช่นส้มตำก็จะมีส้มตำปลาร้าอย่างเดียว จะไม่มีส้มตำใส่ปูม้า  ส้มตำใส่หอย ส้มตำซีฟู้ด อาหารลาวขั้นตอนเดียวแล้วก็จบ
อาหารเวียดนาม  หัวใจของอาหารเวียดนามคือสีเขียวของผัก  การกินผักเป็นเรื่องสำคัญ  อาหารทุกจานจะมีผักขึ้นโต๊ะเป็นเรื่องหลัก  อาหารไทยผักจะขึ้นโต๊ะก็ต่อเมื่อ  ต้องมีเครื่องประกอบอาทิ  น้ำพริกหรือขนมจีน  แต่อาหารเวียดนามผักจะขึ้นโต๊ะเป็นเรื่องธรรมชาติ  นั่นคือการตอบโจทย์ด้วยสามัญสำนึกของวิธีคิดเลย คือกินผักแทนกินยานั่นเอง 
นอกจากการเป็นฟู้ดสไตลิสต์แล้ว  คุณขาบยังเป็นนักเขียนด้วย  อะไรที่เป็นแรงจูงใจให้อยากทำงานเขียนการเขียนคงเริ่มมาจากการเป็นคนรักการอ่านหนังสือก่อน  ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ  และพี่สาวคนหนึ่งของผมซึ่งเรียนวิชาชีพครูทางด้านอาหารและโภชนาการสะสมหนังสือพวก  สตรีสาร  ซึ่งเขาจะอ่านแล้วก็นำมาทิ้งไว้ที่บ้าน  ผมจึงได้อ่านและนี่เป็นจุดเริ่มต้น  พอไปโรงเรียนผมก็ชอบเข้าห้องสมุด  ตอนอยู่ที่หนองคายจะมีห้องสมุดประชาชนประจำจังหวัด  ผมชอบเข้าห้องสมุดเสาร์-อาทิตย์  ที่โรงเรียนประจำจังหวัดก็มีห้องสมุด  ผมจึงไปสมัครเป็นบรรณารักษ์ ก็จะได้หนังสือมาอ่านเล่นที่บ้านมากขึ้น  โดยธรรมชาติผมชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก  คืออ่านเยอะมาก  ชอบอ่านหนังสือแนวสารคดีมากกว่านวนิยาย  เพราะรู้สึกว่าสารคดีเป็นเรื่องที่จับต้องได้  สัมผัสแล้วเห็นจริง  และเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์  ศิลปวัฒนธรรม  ชอบหนังสือแนวให้ความรู้ซึ่งเป็นของจริงมากกว่า เวลาเขียนหนังสือก็จะติดนิสัยเขียนแนวสารคดีเพราะได้บ่มเพาะตัวเองในเรื่องการคิดที่มีการกลั่นกรองเป็นระบบอยู่ภายใน ที่สำคัญชอบภาษาของนักเขียนแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
การที่ผมเริ่มมาเขียนและทำหนังสือด้วยก็เพราะว่า  พอทำอาหารออกมาแล้วก็อยากเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือให้ได้อารมณ์อย่างที่อยากทำ  เลยเป็นการจุดประกายว่าอยากทำหนังสือตำราอาหาร  พอเริ่มทำหนังสือก็ทำออกมาตามคอนเซ็ป  ผมมีวิธีคิดคือ  หนังสือทุกเล่มที่ผมออกมา  จะต้องเป็นหนังสือที่ไม่ใช่มีแค่รูปภาพกับสูตรอาหารเท่านั้น  วิธีคิดของผมคือจะต้องเป็นสารคดี  การทำหนังสือเป็นต้นทุนทางสังคม  ผมจึงอยากทำหนังสือที่มีคุณค่าทิ้งไว้ให้กับสังคม  เพราะว่าหนังสือมันคืองานวรรณกรรมชิ้นเอก  หนังสืออาหารเป็นเรื่องของข้อเท็จจริง  เป็นเรื่องของวัฒนธรรม  เพราะมันเป็นเรื่องของการตกทอดทางมรดกของชาติพันธุ์มนุษย์  เวลาผมทำชิ้นงานอะไรออกมา  ผมมีความคิดว่า หนึ่งจะต้องตกเป็นสมบัติของแผ่นดิน    สองจะต้องสร้างองค์ความรู้ให้คนเอาไปใช้งานต่อได้  และขณะเดียวกันมันก็เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์  ศิลปวัฒนธรรม ที่ผมเองสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
ผมตกหลุมรักศิลปะกับอาหารมาก อยากจะเอาสองสิ่งนี้มาช่วยประเทศชาติ  นั่นคือสิ่งที่ผมอยากทำ  ผมผ่านการเคยทำงานกับสิ่งตีพิมพ์มามากแล้ว  ผมอยากทำเรื่องสิ่งพิมพ์หนังสือในแบบที่ไม่ใช่แค่เป็นหนังสือตำราอาหารแบบวิชาการ  แต่ผมต้องการทำหนังสือที่สวยงามและสาระก็ยังไม่หาย  ผมเลยอยากจะเอาวิธีคิดและระบบที่มี  มาทำประโยชน์ให้กับวงการธุรกิจอาหารประเภทต่าง ๆ ให้เกิดความสวยด้วยมาตรฐานสากล ผมอยากจะให้งานได้รับการยอมรับ  เพราะเวลาทำเสร็จแล้วจะมีองค์กรหนึ่งคอยตรวจสอบเรา  ถ้าคุณทำงานแล้วมีองค์กรตรวจสอบแสดงว่ากำลังมีคนดูคุณอยู่นะ
เป็นมาอย่างไรถึงส่งหนังสือสารคดีอาหารที่เขียนไปประกวดระดับโลกได้
ผมไม่รู้ว่ามีรางวัล  Gourmand World Cookbook  Awards  เกิดขึ้นบนโลก  ปีแรกที่ผมทำหนังสือ  Food and Travel Laos  ออกไป  ตีพิมพ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแยกเล่ม  มีฝรั่งไปเที่ยวหลวงพระบางแล้วเห็นหนังสือ  เขาอีเมล์มาบอกผมว่า  หนังสือคุณดีมากเลย  ทำไมคุณไม่ส่งไปประกวดที่นี่ พร้อมลิ้งค์เวปไซด์มาให้พร้อม ผมก็เข้าไปดูในเว็บไซต์ขององค์กรนี้  เข้าไปดูเฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไร  เพราะผมคิดว่ามันก็คงไม่ได้มั้ง  ปีที่สองฝรั่งคนนี้ก็อีเมล์มาที่ผมอีก  และขอให้ผมส่งหนังสือไปประกวด  ผมเลยส่งไปและกลายเป็นคนไทยคนแรกเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้สี่รางวัลระดับโลกติดต่อกันสองปีซ้อน  (ปี  2007  และปี 2008)
รางวัลนี้สร้างขึ้นมาเพื่อยกมาตรฐานให้กับตำราอาหารดีเด่นระดับโลกปีละครั้ง  สำหรับปีแรกที่ส่งไปคือปี 2007  หนังสือ  Food and Travel: Laos   ติดอันดับหนังสือดีเด่น 1 ใน 26 เล่มของโลก  ประเภท Best Foreign Cookery Book  พอปี 2008  ผมก็ส่งไปสองเล่มคือ  Good Ideas: Kitchen ได้รับรางวัลชนะเลิศของโลก Best in the World ประเภท Special Awards   และอีกเล่ม  Prantalay Cookbook  ก็ได้รับรางวัลดีเด่นควบ 2 ตำแหน่งพร้อมกันคือ Best Fish and Seafood Book และ อีกรางวัลคือ Best Corporate Cookbook  องค์กรในประเทศสเปนเป็นผู้ก่อตั้งรางวัลนี้ขึ้นมา  ปีหนึ่งมีตำราอาหารจากทั่วโลกส่งเข้าประกวดมากกว่าหกพันเล่ม  มีกรรมการคัดสรรว่าแต่ละเล่มจัดอยู่ในประเภทไหนในทั้งหมด  39  ประเภท  ผมส่งไปโดยไม่รู้ว่าประเภทไหน  รู้แต่ว่าให้ส่งก็ส่งไป  และปีนี้ผมตั้งใจจะเดินทางไปรับรางวัลที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส  ซึ่งเป็นเจ้าภาพพิธีมอบรางวัลให้กับเจ้าของผลงานหนังสืออาหารที่ได้รับรางวัลเมื่อปี  2008  รางวัลนี้จะมีการเวียนประเทศที่จะเป็นเจ้าภาพจัดพิธีมอบรางวัล  และหนังสือที่ผมเขียนได้รับรางวัลเกียรติยศ  Hall of Frame  ประเภท Special Awards ก็ต้องขึ้นไปรับรางวัลกับประธานในงานนี้
อยากให้เล่าถึงการทำงานและเนื้อหาของหนังสือทั้งสามเล่มที่ได้รับรางวัล
Food and Travel : Laos   หลักๆ คือนำเสนอสารคดีอาหารราชสำนักหลวงพระบาง  ซึ่งเป็นหัวใจของหนังสือเล่มนี้  ผมได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ  ปื้มครัวกินลาว (คำว่า ปื้ม แปลว่า หนังสือ)  ของ  เผียสิงห์ - อดีตเคยเป็นห้องเครื่องให้กับเจ้ามหาชีวิตลาวองค์สุดท้ายของลาว  หนังสือเล่มนี้เผียสิงห์ได้เล่าเรื่องของอาหารราชสำนักหลวงพระบางไว้มากมาย ซึ่งทางเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศลาว มองเห็นว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าของลาว  เลยมีการบันทึกไว้ในช่วงที่เผียสิงห์ป่วยหนัก  จากนั้นก็เสียชีวิตต่อมา  หนังสือเล่มนี้ตอบโจทย์ความเป็นลาวได้ชัดเจนคือ นำเสนอเรื่องราวของพืชผักสมุนไพร  การกินอยู่แบบพื้นบ้านง่ายๆ  มีภาพประกอบแล้วก็เล่าเรื่องของอาหารราชสำนัก มีสูตรอาหารที่ทำจาก  พืช  ผัก  ปลา เล่าเรื่องของปลาสมัยอดีต  แล้วผมก็ได้วิธีคิดจากหนังสือเล่มนี้  มาต่อยอดเป็นหนังสือ  Food and Travel: Laos  ตอนที่ค้นคว้าทำให้ผมไปที่หลวงพระบางหลายครั้ง  เพื่อไปสัมภาษณ์ลูกหลานของเผียสิงห์ เพื่อที่จะไปหารอยเชื่อมต่อจากของเผียสิงห์  และขณะเดียวกัน  ผมก็ได้มีโอกาสเข้าพบเจ้าหญิงมะนีไล  สว่าง  สัมภาษณ์เจ้าหญิงว่า  เจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายและเจ้าหญิงในช่วงใช้ชีวิตในวังสมัยก่อน  กินอยู่กันยังไง แล้วก็มีสัมภาษณ์หม่อมบัวซึ่งเมื่อก่อนเคยช่วยงานเผียสิงห์  ซึ่งในช่วงที่ผมได้ทำตำราอาหารเล่มนี้  ผมได้สัมภาษณ์บุคคลสำคัญและราชวงศ์ของหลวงพระบางประมาณ  10 ท่าน  เพื่อที่จะตกผลึกทางความคิดว่าท้ายที่สุดแล้วอาหารราชสำนักคืออะไรนอกจากนี้ผมยังได้ไปสัมภาษณ์คนท้องถิ่น และคนเก่าแก่ที่เขายังมีความคุ้นเคยกับวิถีการกินแบบดั้งเดิม  ผมอยากจะนำเสนออาหารที่คุ้นเคย ซึ่งมีสรรพคุณที่ดีมาก  เพราะอาหารลาวเป็นอาหารที่มีประโยชน์สูงให้คุณค่าต่อร่างกายเน้นการ  กินอยู่กับเรื่องวิถีชีวิตง่ายๆ  ผมเขียนร่วมกับเอื้อยวันดารา  อำไพพอน  คนหลวงพระบางที่สอนทำอาหารแบบโฮมสไตล์  เวลาเขียนสารคดีอาหารท้องถิ่น  ถ้าเรานำคนท้องถิ่นเข้ามาเป็นส่วนร่วมในเรื่องข้อมูล  เท่ากับเราให้เกียรติเขา  แม้กระทั่งในเรื่องของการเลือกใช้ตัวหนังสือของลาว  ภาษาพูดของลาว ก็พยายามที่จะเอามาใช้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เป็นตำราอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดนั่นเอง จากคนทำครัวมาเป็นคนทำหนังสือ  ลองพิจารณาเราจะมองเห็นภาพกว้างได้ชัดเจนที่สุด ที่สำคัญงานเขียนจะต้องให้เกียรติคนอ่านเสมอ หนังสือเล่มนี้ยังได้รับเกียรติเป็นอย่างยิ่งจาก ฯพณฯ  เหียม  พมมะจัน  เอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  ประจำประเทศไทย  เขียนคำนิยมให้  ซึ่งเวลาที่ผมทำหนังสืออะไรก็อยากทิ้งสิ่งที่มีคุณค่าเหล่านี้เอาไว้เป็นสมบัติให้กับห้องสมุดด้วย เพราะผมรู้สึกว่าการทำหนังสือเป็นการให้ความรู้กับคน และหนังสือก็จะตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น เคยมีคนใช้หนังสือเล่มนี้อ้างอิงหลายคน อย่างนักศึกษาสาขาอาหารก็เคยโทรศัพท์มาขอสัมภาณษ์และนำไปอ้างอิงในการทำวิทยานิพนธ์ว่าด้วยเรื่องของอาหาร 
ส่วน Good Ideas: Kitchen  เป็นเรื่องเคล็ดลับต่างๆ ในครัวที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว  มีรูปภาพสวยๆ และเล่าเรื่องประกอบ  เป็นไอเดียง่ายๆ ที่มากไปด้วยคุณประโยชน์ ผมอยากนำเรื่องเคล็ดลับก้นครัวมาเล่า  โดยใช้ความเป็นภูมิปัญญาไทย  แต่วิธีการนำเสนอมุมมองอยากให้เป็นมาตรฐานระดับสากล  มันเลยเป็นภาพออกมาในรูปแบบใหม่ที่ไม่มีในบ้านเราและเมืองนอกเคล็ดลับแบบนี้ครัวฝรั่งเขาก็ไม่ค่อยมี เพราะธรรมชาติการกินแตกต่างกัน  อันนี้คงเป็นส่วนที่ทำให้ผมได้รับรางวัลชนะเลิศระดับโลก ผมเชื่อว่าคงมีส่วนอยู่เหมือนกัน 
อีกเล่ม  Prantalay Cookbook  จะเล่าเรื่องความเป็นมาของอาหารทะเล ประโยชน์ การใช้งานและเก็บรักษา และไวน์แบบไหนเหมาะกับการกินคู่กับอาหารทะเล เป็นหนังสือประเภทธุรกิจอาหารทะเลเน้นภาพลักษณ์สวยและเป็นหนังสือที่ถือว่าทรงคุณค่าสามารถนำมาใช้อ้างอิงเพื่อการศึกษาได้
เคยมีเพื่อนที่เป็นคนเขียนตำราอาหารเช่นกันมาถามผมว่า เขาส่งไปร่วมประกวดได้ไหม  ผมก็บอกว่าทุกคนส่งได้  แต่ว่าเรื่องเงื่อนไขการเข้าชิงรางวัล  คุณต้องทำของคุณให้มีคุณค่าก่อน  เพราะถ้างานของคุณมีคุณค่าคนจะเห็นคุณค่าในงานของคุณเช่นกัน ผมมองเรื่องของสารคดีอาหารถือเป็นเรื่องใหญ่  ฉะนั้นผลงานเขียนทุกเล่มจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้เป็นสิ่งพิมพ์ที่เกิดข้อเท็จจริงได้นั่นเอง  การที่ผมเปิดขาบสตูดิโอก็เป็นส่วนหนึ่งได้ใช้ชีวิตอยู่กับงานที่ชอบ  ผมเขียน อ่าน ศึกษาและทำการบ้านเยอะ  สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดตกผลึกทางความคิด  ต้นทุนทางสังคมทำให้คนคาดหวังกับเราเสมอ  ฉะนั้นเมื่อทำอะไรออกไป เราจะต้องสร้างให้มาตรฐานมันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป  อย่างปี 2007 ผลงานติด  1  ใน  26  เล่มของโลก ปี 2008 ก็เป็น  Best of the World  เลย   และปีต่อๆ ไปผมก็ต้องพยายามทำให้มันดีกว่าเดิมก็เป็นเรื่องที่ท้าทาย  แต่ก็ไม่ยากสำหรับผม  เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ผมรัก  เวลาเรารักอะไร  เราก็จะทำสิ่งนั้นได้ดีกว่าและเต็มที่กับมันเสมอทุกครั้งที่ได้ลงมือทำ 
สำหรับนักเขียนสารคดีอาหารท่านใดสนใจอยากส่งผลงานเข้าร่วมในเวที  Gourmand World Cookbook  Awards  สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่  www.cookbookfair.com  ผลงานที่ส่งไปให้กรรมการพิจารณานั้น  ส่งไปได้ทุกภาษาทั้งอังกฤษ ไทยและอื่นๆ
ทำไมถึงเลือกเขียนหนังสือสารคดีอาหารอินโดจีน
เพราะผมเกิดที่หนองคาย ย่อมรู้จักตัวตนได้ดีที่สุด และที่บ้านทำร้านอาหาร  เลยเป็นเรื่องที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก  ตอนอยู่หนองคายผมเติบโตมากับชุมชนคนอพยพ  ฉะนั้นเรื่องอาหารอินโดจีนจึงเป็นเรื่องใกล้ตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากจะนำเสนอที่สุด  ด้วยภาพลักษณ์หรือวิธีการนำเสนอให้ออกมารูปแบบเป็นยุโรปหรือตะวันตก  ผมอยากยกมาตรฐานสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งเรื่องของกระบวนการปรุง วิธีเลือกใช้วัตถุดิบแต่รสชาติต้องอร่อยแบบเดิม ผมอยากให้คนรู้ว่าอาหารไทย  เวียดนาม  ลาว  มีสรรพคุณที่ดีมาก  แต่อาจมีปัญหาในเรื่องการนำเสนอ  เพราะขาดทักษะเรื่องของศิลปะเชิงสากล  ในบทบาทที่ผมเป็นฟู้ดสไตลิสท์  ผมก็อยากจะนำเสนอให้ภาพลักษณ์อาหารไทยทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้าตาอาหาร บรรจุภัณฑ์ สิ่งตีพิมพ์  การคุกกิ้งโชว์  หรืออะไรก็แล้วแต่  หรือแม้แต่การเป็น อาจารย์พิเศษ เป็นวิทยากรให้กับองค์กรเอกชน  ผมก็พยายามนำเสนอในเรื่องของวิธีคิด  การตกผลึกที่เป็นเชิงสากล  เป็นเรื่องสำคัญเลยนะ  ถ้าคุณได้วิธีคิดที่เป็นสากล  อย่างอื่นก็ง่ายแล้วแต่ปัญหาตอนนี้คือ บ้านเราเป็นแบบครูพักลักจำ มันก็เลยกลายเป็นว่า เดินทางไปข้างหน้าได้แต่ว่าไม่สามารถย้อนกลับมาใช้เส้นทางเดิมได้  เพราะว่าคุณไม่รู้จักรากมัน  อย่างผมเติบโตมาจากรากอยู่กับก้นครัวเลย  นั่นก็แปลว่ารากผมแน่นมาก  เพียงแต่ว่าผมจะหยิบอะไรมาใช้ นำเสนอให้โดดเด่นด้วยวิธีการเช่นไร 
อยากเขียนสารคดีอาหารประเทศไหนอีกบ้างผมอยากทำหนังสืออาหารในเอเชียอาคเนย์  อย่างเขมรนี่ก็ชอบนะครับ เพราะมีหนังสือเล่มหนึ่ง  The Royal Palace of Phnom Penh and Cambodian Royal Life เพื่อนชาวต่างชาติ Julio A. Jeldres ที่เป็นคนเขียนหนังสือเล่มนี้ให้หนังสือผมมาเป็นที่ระลึกแล้วผมรู้สึกว่าน่าสนใจมากทำให้อยากทำอาหารราชสำนักของประเทศนี้หากสำนักพิมพ์ไหนสนใจเรื่องนี้หรือตำราอาหารที่เน้นแนวไลฟ์สไตล์ ทันสมัยอย่างตำราอาหารของดอนน่า เฮย์และมาร์ธ่า สจ๊วต ถ้าหากมีไอเดียตรงกันก็สามารถที่จะร่วมแชร์ประสบการณ์กันได้ครับ ติดต่อมาได้เลย เวทีของผมเปิดใจกว้างเสมอ ผมว่าน่าจะมีอะไรที่ให้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลได้เยอะ
มีนักเขียนให้ความสนใจเขียนสารคดีอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เยอะไหม
บ้านเราก็มีแต่น้อยครับ  บางคนชอบทำครัวแต่พอมาเขียนหนังสืออาหารกลับไม่ไปสู่สากล ซึ่งอาจจะขาดทักษะหลายๆ อย่าง ทำให้ตำราอาหารที่ออกมา ไม่สามารถยืนด้วยศักยภาพของเนื้อหาที่อัดแน่นและคุณภาพคับแก้ว ภาพที่นำเสนอก็ไม่ชวนให้ดึงดูดแต่กลับไปเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดที่มีอยู่ให้แย่ลงกว่าเดิม  บ้านเราทำหนังสือเหมือนเป็นแฟชั่นหลายๆ สำนักพิมพ์ทำออกมาคล้ายกัน และมาขายก็ตัดราคากันเอง และสำนักพิมพ์ก้ไม่กล้าคิดสิ่งใหม่ๆ กลัวขายไม่ออก จะเห็นว่าบ้านเรามีสำนักพิมพ์หนังสือเกิดขึ้นเยอะเลย ส่วนมากจะเน้นสูตรอาหารกับรูปภาพประกอบและพยายามออกหนังสือให้ได้ปริมาณเยอะเข้าไว้ก่อน แต่ฝรั่งเวลาทำงานเขาจะมองวิธีคิดเป็นเรื่องใหญ่  คิดอย่างรอบคอบทำอาหารเป็นสารคดีมีข้อเท็จจริง  เป็นประวัติศาสตร์  แล้วก็สไตล์เรื่องการทำหน้าตาอาหารให้สวย ทุกองค์ประกอบที่จะออกมาจึงมีความสวยงามอย่างลงตัวเป็นหนังสือตามมาตรฐานที่สากลเขายอมรับกันนั่นเอง 
ภาพประกอบในหนังสือถ่ายเองทั้งหมดผมถ่ายเองเกือบทั้งหมดโดยเฉพาะภาพที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ตลาดสดยามเช้า  แต่บางครั้งก็มีช่างภาพมาช่วยกรณีผมต้องเตรียมอาหารเอง และดีไซน์จัดหน้าหนังสือด้วยตัวเองทุกครั้ง  นี่คืออานิสงส์จากการคลุกคลีกับผู้มากประสบการณ์ที่เคยทำสิ่งพิมพ์มาก่อน ได้ให้โอกาสเรียนรู้งาน แล้วผมเองก็จะชอบดูนิตยสารจากเมืองนอกบ่อย เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นมาตรฐานในการทำงาน  และการไปท่องเที่ยวเรียนรู้โลกกว้างไปเที่ยวไปตลาดสด ร้านขายเครื่องครัว ทำให้ได้เห็นภาพต่างๆ ได้ไอเดียเพื่อนำมาจัดประกอบลงหนังสือ แม้กระทั่งการที่ผมเป็นคนท้องถิ่น พูดภาษาลาวได้ก็เป็นความโชคดีอีกอย่าง เพราะการส่งภาษาเดียวกันกับคนท้องที่ก็ช่วยให้ผมได้ภาพดี ๆ เช่นกันและถึงแม้ว่าเราจะต่างชาติต่างภาษาแต่ความเป็นสากลก็จะต้องมีเหมือนกันผมเชื่อเช่นนั้น
สำหรับวิธีการทำหนังสือให้ลูกค้านั้น  ผมเป็นตัวแปรหลักเลย  ผมจะต้องคิดคอนเซ็ปรวมก่อนว่า  หนังสือเล่มนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง  แล้วก็เอาคอนเซ็ปไปขายให้ลูกค้าดูว่า สิ่งที่กำลังตั้งประโยคคำถามสามาถตอบออกมาเป็นเนื้อหาครอบคลุม  ประเด็นธุรกิจครบไหม  เนื้อหาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผม  พอเขียนเสร็จ  ช่างภาพต้องถ่ายรูปทำสไตล์ภายใต้การมองผ่านเลนส์ของผม เพราะผมจะต้องมองภาพผ่านเลนส์ทุกช้อต  เพื่อให้ได้อารมณ์ดั่งที่ต้องการ ผมจะเป็นคนดูแลมุมกล้องด้วยตัวเอง  สำหรับกราฟฟิกดีไซเนอร์ผมต้องใช้คนที่มีวิธีคิดในเชิงศิลปะมาร่วมงาน เรื่องรูปภาพ ตัดรูป แปะกระดาษเพื่อทำเลย์เอ้าท์ตั้งแต่หน้าแรกไปจนถึงหน้าสุดท้ายผมต้องลงมือเขียนกำกับเอง  เสร็จแล้วส่งมอบเลย์เอาท์ด้วยลายมือให้กราฟฟิกทำ  หลังจากนั้นกราฟฟิกจะดูว่าต้องปล่อยสีอะไรลงไป  ความลงตัวระหว่างองค์ประกอบต่างๆ  ข้อความกับรูป  การปล่อยคำโปรย การเลือกสีที่สัมพันธ์กัน  เช่น  สีส้มคู่กับฟ้า  กราฟฟิกทำงานกับผมง่ายมาก  เพราะทุกอย่างถูกวางไว้แล้ว  หน้าที่ของเขาคือทำให้ได้อารมณ์อย่างที่ผมต้องการ  ผมเห็นช่องแสงปลายทางแล้วแต่ขาดคนมาช่วยเดินเรื่องให้ก้าวไปจนสำเร็จ โดยเฉพาะบอกอที่ให้โอกาสผมได้เต็มที่กับงาน เข้าใจอารมณ์ของนักเขียน ก็ต้องขอขอบคุณพี่วิทยา ร่ำรวย แห่ง สนพ.บ้านพระอาทิตย์ ขอบคุณพี่ประพันธ์ ประภาสะวัต แห่ง สนพ.บ้านและสวน และทีมงานทุกท่านที่มีส่วนช่วยให้หนังสือก้าวมาถึงจุดนี้ได้
ที่ขาบสตูดิโอมีสอนการตกแต่งหน้าตาอาหารไหม
มีครับ ทำอยู่ 2 รูปแบบ คือ 1. เปิดหลักสูตรสอนการเป็นฟู้ดสไตลิสต์ที่ดี สอนระบบการคิดแบบสากลเขาทำกันอย่างไร  คนที่เป็นเชฟ คนที่ทำธุรกิจด้านอาหาร คนที่มาเรียนไม่จำเป็นต้องเป็นเชฟเสมอไป  เพราะคนมาเรียนกับผมเป็นกราฟฟิกดีไซเนอร์ก็มี  คอร์สที่นี่เรียนกัน  4-5  คน  เรียนหลักสูตรภาคทฤษฏีเรื่องฟู้ดสไตลิสต์จะทำให้คุณโดดเด่นได้อย่างไร พร้อมกรณีศึกษา   2. เป็นผู้ชำนาญการรับสอนการตกแต่งหน้าตาอาหารในรูปแบบใช้งานได้จริงเน้นออกไปข้างนอกสอนในห้องครัว  สอนต่อหน้าเตาและร่วมทำอาหารกับเชฟเน้นภาคปฏิบัติ  ยกตัวอย่าง  วันนี้ทำ  15  เมนูอาหาร ผมก็จะให้เชฟเลือกทำทีละเมนู  แล้วผมก็จะดูที่เขาทำจนเสร็จในครั้งแรก  จากนั้นในครั้งที่ 2 ผมก็จะปรับเปลี่ยนหน้าตาให้เขาดู ว่าสวยงามแตกต่างกันอย่างไร และถามถึงความเป็นไปได้ในการใช้งานจริงของเขาด้วย อันนี้คือสิ่งที่ท้าทายผม เพราะผมรู้สึกว่าหน้าตาอาหารในบ้านเรามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นเยอะ  หากมีการแก้ไขจะช่วยยกระดับมาตรฐาน และเรื่องของราคาให้กับร้านอาหารได้ และภาพรวมหน้าตาอาหารไทยก็จะดีขึ้นซึ่งทางผมก็ยินดีรับเป็นที่ปรึกษา ขอมีส่วนช่วยสร้างภาพลักษณ์และยกระดับอาหารไทยคอยสนับสนุนภาครัฐบาลและเอกชนให้ประสบความสำเร็จยิ่ง ๆ ขึ้น 
หลักๆ ตอนนี้มีบทบาทอะไรบ้างนอกเหนือจากการเป็นฟู้ดสไตลิสต์และนักเขียน
ทางช่อง  3 ผมเป็นพิธีกรรายการทีวีทำอาหารร่วมคู่กับคุณนก ชลิดา เถาว์ชาลี   เป็นนักจัดรายการวิทยุ  คอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารหลายเล่ม  วิทยากรบรรยายตามสถาบันการศึกษาและองค์กรเอกชนต่างๆ  งานออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้กับผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ งานออกแบบสิ่งพิมพ์อาหารและรับเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรเอกชนที่ต้องการก้าวสู่สากลด้านสไตล์อย่างแท้จริง
สำหรับผู้ที่สนใจสไตล์ของขาบ  ไปชมได้ที่  www.karbstyle.com  หรือโทรมาขอคำปรึกษาได้ที่ 02-274-7664 ได้ครับ

ความคิดเห็น